เมื่อท่านมีอาการปวดหลัง ปวดสะโพก ปวดร้าวลงขาอาจมีร่วมกับอาการชา เมื่อเดินหรือยืนนานๆ
ช่องกระดูกสันหลังแคบ (lumbar stenosis) อาการปวดหลัง ปวดสะโพก เดิน ยืนได้ไม่นาน เคยเกิดขึ้นกับท่านหรือไม่? ถ้าทำความเข้าใจกับสาเหตุของอาการปวดของท่านได้
ก็ไม่ยากเกินไปเลยคะ ในการดูแลตัวเอง เอาละคะคราวนี้เราก็มาทำความเข้าใจถึงสาเหตุ ปัจจัยในการทำให้เกิดอาการปวดหลัง
การดูแลตนเองและการรักษากันเลยนะคะ
กายวิภาคศาสตร์และพยาธิสภาพ
กระดูกสันหลังเป็นส่วนที่มีการรับน้ำหนักตลอดชีวิตของมนุษย์ โดยลักษณะโครงสร้างทางธรรมชาติจะมีลักษณะกายวิภาคศาสตร์ประกอบไปด้วยกระดูกสันหลังที่เป็นกระดูกแข็ง(Vertebral body) 2 ชิ้น หมอนรองกระดูกสันหลัง(Vertebral disc) คั่นกลาง
เพื่อกระจายแรงที่มากระทำกับหลัง ประกอบกันเป็นข้อต่อกระดูกสันหลัง
โดยมีกระดูกอ่อน(cartilage)ทำหน้าที่ลดการเสียดสีเมื่อมีการเคลื่อนไหวของข้อต่อ
สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดกระดูกสันหลังตีบแคบ
1. อายุ กระดูกสันหลังเสื่อม (Spinal spondylosis)
เมื่อเราอายุมากขึ้นกระดูกอ่อนจะมีการสูญเสียน้ำมากขึ้นและกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ของกระดูกอ่อนลดลง
ทำให้สมดุลการสร้างและการทำลายกระดูกอ่อนสูญเสียไป เกิดการทำลายเซลล์กระดูกอ่อนมากกว่าการสร้างใหม่
นอกจากนี้หมอนรองกระดูกสันหลังก็จะมีการสูญเสียน้ำตามอายุที่มากขึ้น
ทำให้กระจายแรงที่กระทำต่อกระดูกสันหลังได้ไม่ดี เมื่อวันเวลาผ่านไปหมอนรองกระดูกสันหลังก็จะค่อยๆเสื่อมหรือมีกระดูกงอก
เป็นเหตุให้ช่องที่รากประสาทออกหรือช่องประสาทเกิดการตีบแคบมากขึ้น เส้นประสาทเสี่ยงต่อการถูกกดทับ
หากมีแรงกระทำที่มากกว่าปกติจากภายนอกมากระทำ เช่น ยกของหนัก หรือหกล้มก้นกระแทก
ก็จะทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่อหรือเส้นประสาทจนเกิดอาการปวดหลังร้าวลงขาได้
2. ความอ้วน น้ำหนักตัวที่มาก กระดูกสันหลังก็ต้องรับน้ำหนักที่มากทำให้เกิดความเสื่อมเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ
และเพิ่มความเสี่ยงในการที่เส้นประสาทถูกกดทับมากขึ้น
3. พฤติกรรมการปฏิบัติตัว เช่น พฤติกรรมนั่งหลังค่อม นั่งทำงานคอมพิวเตอร์ด้วยท่าทางหรือสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม
การยกของหนักเกินไปโดยไม่ใช้ตัวช่วยหรือยกในท่าทางที่ผิด
4. การทำงานหนักหรือยกของหนักมาเป็นเวลานานๆ
5. ขาดการออกกำลังกาย
6. อุบัติเหตุ เช่น หกล้มก้นกระแทก จากการเล่นกีฬา แล้วไม่ได้รับการรักษาจะเมื่อมีการใช้งานนาน
7. สตรีวัยหมดประจำเดือน เมื่อหมดประจำเดือนฮอร์โมนเพศหญิงหมด จะทำให้การสร้างเซลล์กระดูกลดลง
เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์กระดูก แต่การทำลายยังคงอยู่ดังนั้นผู้หญิงจึงมีโอกาสที่จะมีกระดูกเสื่อมได้มากกว่าผู้ชายที่มีออร์โมนเพศตลอดชีวิต
สาเหตุและปัจจัยเหล่านี้นั้นก็มีผลทำให้ช่องโพรงประสาทของกระดูกสันหลังแคบลง ยังผลให้มีความเสี่ยงในการบาดเจ็บต่อข้อต่อและเส้นประสาทได้ง่ายขึ้นจนเกิดอาการปวดหลัง ปวดสะโพกหรือมีอาการปวดร้าวตามเส้นประสาทลงขาได้
ข้อต่อกระดูกสันหลังแคบมีอาการและอาการแสดงอย่างไร
1. ปวดหลัง ปวดสะโพก เมื่อมีการเดินมากๆ ยืนนานๆ หรือยกของหนัก ทำให้ถ้าได้นั่งพักอาการจะดีขึ้น
หากอาการมากอาจมีอาการปวดร้าวลงขา ต้นขาหรือน่อง ถ้าเส้นประสาทถูกหระตุ้นหรือบาดเจ็บเป็นเวลานานอาจมีอาการชาตามบริเวณดังกล่าวได้
2. นอนหงายนาน อาจมีอาการเมื่อยหลังหรือสะโพกจนถึงอาการปวด พลิกตะแคงตัวหรือนั่งลุกขึ้นยืนอาจมีอาการปวดหรือเมื่อยสะโพกได้
3. หากเส้นประสาทเกิดการเสียหายมากอาจทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อบริเวณขาอ่อนแรงได้
การรักษา
1. การรักษาทางกายภาพบำบัด เป็นการรักษาทางธรรมชาติ โดยไม่ต้องรับประทานยา
การรักษาทางกายภาพบำบัดนั้นจำเป็นต้องเน้นการตรวจร่างกายทางกายภาพ
ซึ่งเป็นการตรวจร่างกายโดยใช้การเคลื่อนไหวในการตรวจ เช่น ก้มตัว แอ่นตัว การตรวจเคลื่อนไหวของข้อต่อกระดูกสันหลัง
การตรวจความตึงตัวของเส้นประสาท การตรวจการรับความรู้สึกของเส้นประสาท การตรวจกำลังกล้ามเนื้อ
นำมาวิเคราะห์ถึงพยาธิสภาพของผู้ป่วย เพื่อวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง
- หลังจากการตรวจร่างกายและวิเคราะห์พยาธิสภาพแล้ว จะมีการวางแผนในการรักษาต่อ
การลดการอักเสบ
โดยใช้ความเย็น ความเย็นจะทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดบริเวณพยาธิสภาพ
เพื่อลดการหลั่งของสารอักเสบ ที่ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน
ใช้เครื่องอัลตราซาวด์(Ultrasound) เพื่อเร่งกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกาย และช่วยในการปรับแต่งแผล
เพิ่มประสิทธิภาพของการซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกาย เพื่อให้เกิดผลที่ดีและรวดเร็วขึ้นอีกด้วย
ลดความเครียดที่เกิดขึ้นบริเวณพยาธิสภาพ
การจัด ดัด ข้อต่อกระดูกสันหลัง (Mobilization) การบาดเจ็บบริเวณพยาธิสภาพนั้นมักเกิดขึ้นเนื่องมาจากการทำงานที่มากเกินไปของข้อต่อบริเวณนั้น
ซึ่งอาจเกิดจากข้อต่อที่อยู่เหนือขึ้นไปหรือล่างต่อลงมา ไม่ทำงานหรือทำงานน้อย
จึงทำให้ข้อต่อบริเวณที่มีพยาธิสภาพนั้นเกิดการเสื่อมและตีบแคบไวกว่าบริเวณอื่น
ดังนั้นต้องมีการดัดหรือจัดข้อต่อบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เพื่อช่วยลดการใช้งานของบริเวณที่มีพยาธิสภาพนั้นๆ
การลดความตึงตัวของเส้นประสาท
การนวด(Massage) หลังจากมีการตรวจความตึงตัวของเส้นประสาทแล้ว
หากมีการบาดเจ็บหรือการอักเสบรบกวนบริเวณเส้นประสาทมาเป็นเวลานาน เส้นประสาทภายในจะเริ่มมีการตึงตัว
นอกจากนี้ยังเป็นให้เกิดความตึงตัวของกล้ามเนื้อที่เส้นประสาทไปเลี้ยงและวิ่งผ่านเกิดความตึงตัว
เมื่อเป็นระยะเวลานานก็จะเพิ่มความตึงตัวของเส้นประสาทมากขึ้นอีก ซึ่งจะทำให้เส้นประสาทขาดเลือดไปเลี้ยง และเกิดเป็นการบาดเจ็บซ้ำซ้อน
ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหรือชาหลังร้าวลงขามากขึ้นอีกด้วย
การขยับเส้นประสาท(Nerve mobilization) เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดภายในเส้นประสาท
จากนั้นเส้นประสาทจะลดความเครียดความตึงตัวลง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดและตึงลดลง
การป้องกันการบาดเจ็บเพิ่มเติมและซ้ำซ้อน
การพันเทป(Taping) เมื่อมีการบาดเจ็บเกิดขึ้นบริเวณนั้นๆ สิ่งที่ร่างกายต้องการคือการพักบริเวณที่เกิดการบาดเจ็บ
เพื่อให้กระบวนการซ่อมแซมของร่างกายทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพ แต่ในบางครั้งเราก็มักจะยังใช้งานในส่วนนั้นๆ อยู่ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
จึงมีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วย ด้วยเทคนิคการพันเทป
จะช่วยลดการใช้งานบริเวณบาดเจ็บและเป็นตัวช่วยเตือนจำกัดการเคลื่อนไหวที่ต้องห้ามให้แก่ผู้ป่วยได้
การรักษาตัวเองของร่างกายจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการบาดเจ็บซ้ำซ้อนของเนื้อเยื่อเหล่านั้นได้
เพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อบริเวณที่ได้รับการบาดเจ็บ
การออกกำลังกาย(Strengthening) นักกายภาพบำบัดจะช่วยออกแบบท่าทางในการออกกำลังกาย
เพื่อให้เหมาะสมกับกำลังของกล้ามเนื้อ หน้าที่การทำงานของกล้ามเนื้อ เพื่อนำไปใช้งานในชีวิตประจำวัน ลดการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นอีก
การยืดกล้ามเนื้อ(Stretching) การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นต่อบริเวณหนึ่งๆนั้นมักเกิดจากความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อที่ทำงานร่วมกัน
กล้ามเนื้อบางมัดอาจมีความตึงตัวเกินไปจึงทำให้สมดุลในการทำงานเสียไป เกิดการบาดเจ็บขึ้นในที่สุด
นักกายภาพจะช่วยในการออกแบบท่าทางให้เหมาะสมกับสภาพของกล้ามเนื้อและให้เฉพาะเจาะจงแก่ผู้ป่วย
- การแนะนำให้ความรู้ในการดูแลตัวเอง
การแนะนำให้ความรู้ความเข้าใจ (Education) ความรู้ความเข้าใจในพยาธิสภาพเป็นสิ่ฝที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง
เพื่อให้ผู้ป่วยได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เป็นสาเหตุของการเกิดกลุ่มอาการช่องกระดูกสันหลังแคบ
การดูแลตัวเองเมื่อมีการอักเสบ เมื่อมีอาการปวด บวม แดง ร้อน ให้ใช้แผ่นเย็นประคบ 15 นาทีต่อครั้ง
สามารถประคบได้บ่อยในแต่ละวันจนอาการปวด บวม แดง ร้อนจะหายไป
การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ(Specific exercises) เมื่อมีความเสื่อมของข้อต่อกระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูกสันหลังเกิดขึ้น
เราจึงควรต้องมีการออกกำลังกายกล้ามเนื้อเพื่อทดแทน ส่วนที่เสียไป เพื่อลดแรงกดต่อกระดูกสันหลัง
ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง ปวดสะโพก ชาตามขา
2. การรักษาทางยา เป็นการรักษาทางยาตามการวินิฉัยของแพทย์ เช่น ยาแก้ปวดอักเสบแบบไม่มีสเตอรอยด์(NSAIDs, Non-steroidal anti-inflammatory drugs)
3.การฉีดยา อาจเป็นการฉีดยาแก้ปวดหรืออาจเป็นยาสเตอรอยด์ที่ฉีดบริเวณที่มีการอักเสบ
4.การผ่าตัด
อารีย์ วิทยสุนทร
นักกายภาพบำบัด