Plantar fasciitis โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ

โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ (รองช้ำ) คือ ภาวะที่มีการอักเสบของเอ็นใต้ฝ่าเท้า

อาการสำคัญ

อาการปวดจะเป็นมากในช่วงเช้า โดยเฉพาะก้าวแรกที่ลงจากเตียง หรือเมื่อยืนลงน้ำหนักหลังจากนั่งเป็นระยะเวลานาน, พบจุดกดเจ็บบริเวณฝ่าเท้า โดยเฉพาะส้นเท้ามักเป็นมาก, ปวดเมื่อเดินก้าวแรกหลังจากพัก แต่อาการปวดจะหายไปเมื่อเดินไปได้สักระยะ การอับเสบจะเกิดขึ้นที่เอ็นบริเวณส้นเท้าต่อเนื่องไปจนถึงเอ็นร้อยหวาย ในรายที่เป็นมานาน หรือไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาการจะเรื้อรังมากขึ้น และมักเอกซเรย์พบหินปูนงอกบริเวณกระดูกส้นเท้าด้วย

ปัจจัยเสี่ยง

  1. คนสูงอายุ เนื่องจากพังผืดฝ่าเท้ามีความยืดหยุ่นน้อยลง
  2. คนที่มีน้ำหนักเกิน ทำให้พังผืดฝ่าเท้ารับแรงกระแทกมากขึ้น
  3. คนที่มีอาชีพยืนหรือเดินมาก ทำให้พังผืดฝ่าเท้าตึงเครียด
  4. คนที่มีอุ้งเท้าสูงหรือแบนผิดปกติก็อาจมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น
  5. คนที่ใส่รองเท้าพื้นแข็งหรือพื้นบางเป็นประจำ

วิธีรักษาให้ลาขาด จากโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ

  1. การพักและใช้ยาลดอาการอักเสบ
    การลดการเดิน (ใช้ไม้เท้าพยุง) การประคบความเย็นหรือน้ำแข็งประมาณ 20 นาที 3-4 ครั้ง/วัน ในตอนเย็นจะช่วยลดอาการเจ็บปวดได้ดี การรับประทานยาลดอาการอักเสบควรพิจารณาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและไม่ควรรับประทานต่อเนื่องนานเกิน 2-3 สัปดาห์
  2. การบริหาร
    การบริหารเอ็นร้อยหวายและพังผืดฝ่าเท้าที่เหมาะสม จะช่วยทั้งรักษาและป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ดีที่สุด

การบริหารเพื่อยืดเอ็นร้อยหวาย

ท่าที่ 1

ท่าที่ 2

ท่าที่ 3

การบริหาร เพื่อยืดพังผืดฝ่าเท้า

ท่าที่ 1

ท่าที่ 2

ท่าที่ 3

ยืนหันหน้าเข้าฝาผนังแล้วดันมือกับผนัง ก้าวขาที่ต้องการยืดไปด้านหลัง ส้นเท้าติดพื้นย่อเข่าหน้าจนรู้สึกตึงขาหลัง ทำค้างไว้ประมาณ 30-60 วินาที ทำซ้ำ 10-20 ครั้ง/วัน หรืออาจจะนั่งกับพื้นราบแล้วใช้ผ้าเช็ดตัวช่วยตึงปลายเท้าก็ได้

  1. การใช้แผ่นรองส้นเท้า
    การใช้แผ่นรองเท้าที่อ่อนนุ่ม หรือสวมรองเท้าที่เหมาะสม ก็ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี และการใส่เฝือกอ่อนจะช่วยลดการเคลื่อนไหวที่ข้อเท้าอาจเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดอาการอักเสบในช่วงแรกได้ดี
  2. การรักษาด้วยความถี่ (Shock Wave)
    เป็นการกระตุ้นเอ็นพังผืดฝ่าเท้าให้มีเส้นเลือดมาเลี้ยงซ่อมแซมตังเอง ได้ผลการรักษาใกล้เคียงการผ่าตัด
  3. การผ่าตัด (ส่วนน้อย)
    หากรับการรักษาแล้วแต่ยังมีอาการไม่หายขาด จึงมีความจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อผ่าตัดพังผืดเท้าบางส่วนและนำหินปูนที่กระดูกส้นเท้าออก
  4. การฉีดยาลดการอับเสบ
    ไม่ควรใช้ยาสเตียรอยด์ฉีดเข้าบริเวณส้นเท้า เนื่องจากจะทำให้รักษาได้ยากขึ้น และมีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกติดเชื้อ ไขมันฝ่าเท้าฝ่อ หรือ เอ็นฝ่าเท้าฉีกขาดซึ่งยากต่อการรักษามาก

ข้อควรระวัง

ในบางกรณี การบาดเจ็บส้นเท้าอาจไม่ได้เกิดจากเกิดโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบเพียงอย่างเดียว ดังนั้นหากทำการบริหารแล้วยังมีอาการเจ็บอีก ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษา และประมาณ 90% ของผู้ป่วยส่วนเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ มักจะดีขึ้นหลังจาก 2 เดือน หลังได้รับการรักษาที่เหมาะสม

http://www.siphhospital.com/th/news/article/share/606/Plantarfasciitis